หมายถึง กิจกรรมการเรียนที่นักเีรียนมีอิสระในการเลือกศึกษาปัญหาที่ตนเองสนใจ โดยจะต้องวางแผนการดำเนินงาน ศึกษา พัฒนาโปรแกรม โดยใช้ความรู้ทางกระบวนการวิศวกรรมซอฟต์แวร์ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนทักษะพื้นฐานในการพัฒนาโครงงาน เรื่องที่นักเรียนสนใจและคิดจะทำโครงงาน ซึ่งอาจมีผู้ศึกษามาก่อน หรือเป็นเรื่องที่นักพัฒนาโปรแกรมได้เคยค้นคว้าและพัฒนาแล้ว นักเรียนสามารถทำโครงงานเรื่องดังกล่าวได้ แต่ต้องคิดดัดแปลงแนวทางในการศึกษา การวิเคราะห์ข้อมูล การพัฒนาโปรแกรม หรือศึกษาเพิ่มเติมจากผลงานเดิมที่มีผู้รายงานไว้ จุดมุ่งหมายสำคัญของการทำโครงงานเป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ตรงในการใช้ระบบคอมพิวเตอร์แก้ปัญหา ประดิษฐ์คิดค้น หรือค้นคว้าหาความรู้ต่างๆ ใช้คอมพิวเตอร์ในการพัฒนาสื่อการเรียนรู้เพื่อการศึกษา ประดิษฐ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรืออุปกรณ์ใช้สอยต่างๆ พัฒนาโปรแกรมประยุกต์ต่างๆ ตลอดจนการพัฒนาเกมคอมพิวเตอร์ เพื่อฝึกให้นักเรียนเป็นบุคคลที่ใฝ่เรียนใฝ่รู้ การพัฒนาความคิดใหม่ๆ ความมีคุณธรรมจริยธรรม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ให้กับเพื่อนมนุษย์ และอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข
อ้างอิง http://www.acr.ac.th
ตัวอย่างโครงงานคอม
- 1. โครงงานคอมพิวเตอร์ การพัฒนาเว็บไซต์เพื่อการศึกษา เรื่อง อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Hardware) โดย นายอภิมุข ตาอุด นายจิรศักดิ์ ดวงมณี นางสาวณัฐธิดา ไชยสุวรรณ โรงเรียนขุนหาญวิทยาสรรค์ สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดศรีสะเกษ รายงานฉบับนี้เป็นส่วนประกอบของโครงงานคอมพิวเตอร์ ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย เนื่องในงานศิลปหัตถกรรมนักเรียน ครั้งที่ 62 ปีการศึกษา 2555 วันที่ 3 เดือน ธันวาคม พ.ศ. 2555
- 2. โครงงานคอมพิวเตอร์ การพัฒนาเว็บไซต์เพื่อการศึกษา เรื่อง อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Hardware) โดย นายอภิมุข ตาอุด นายจิรศักดิ์ ดวงมณี นางสาวณัฐธิดา ไชยสุวรรณ โรงเรียนขุนหาญวิทยาสรรค์ สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดศรีสะเกษ ครูที่ปรึกษา นายนพพร พนานุสรณ์ นางสาวนภาพร วรรณทอง
- 3. ข เรื่อง โครงงานคอมพิวเตอร์การพัฒนาเว็บไซต์เพื่อการศึกษา เรื่อง อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Hardware) ประเภทโครงงาน โครงงานพัฒนาเสื่อการศึกษา ระดับชั้น มัธยมศึกษาตอนปลาย โดย 1. นายจิรศักดิ์ ดวงมณี 2. นายอภิมุข ตาอุด 3. นางสาวณัฐธิดา ไชยสุวรรณ โรงเรียน ขุนหาญวิทยาสรรค์อําเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ สังกัด องค์การบริหารส่วนจังหวัดศรีสะเกษ ครูที่ปรึกษา นายนพพร พนานุสรณ์ นางสาวนภาพร วรรณทอง ปีการศึกษา 2555 บทคัดย่อ โครงงานคอมพิวเตอร์ การพัฒนาเว็บไซต์เพื่อการศึกษา เรื่อง อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Hardware) จัดทําขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาเว็บไซต์เพื่อการศึกษา เรื่อง อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Hardware) 2) เพื่อใช้เป็นสื่อในการศึกษาให้กับผู้ที่สนใจเรื่องอุปกรณ์คอมพิวเตอร์(Hardware)การพัฒนา เว็บไซต์ในครั้งนี้ใช้โปรแกรมในการดําเนินงาน คือ โปรแกรม Adobe Dreamweaver , Adobe Flash , Adobe Photoshop , Sothink Glanda , Microsoft Word , Captivate ผลการพัฒนาเว็บไซต์ เพื่อการศึกษา เรื่อง อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Hardware)ในเว็บไซต์ ประกอบด้วย แบบทดสอบก่อนเรียน เนื้อหาบทเรียน แบบทดสอบหลังเรียน ใบความรู้ ใบงาน และผล การประเมินของการพัฒนาเว็บไซต์เพื่อการศึกษา เรื่อง อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Hardware) มีค่าเฉลี่ยรวม อยู่ในระดับดี (X=3.92)
- 4. ก กิตติกรรมประกาศ โครงงานนี้สําเร็จลุล่วงได้ด้วยความกรุณาจากอาจารย์นพพร พนานุสรณ์อาจารย์ที่ปรึกษา โครงงานที่ได้ให้คําเสนอแนะ แนวคิด ตลอดจนแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ มาโดยตลอด จนโครงงาน เล่มนี้เสร็จสมบูรณ์ ผู้ศึกษาจึงขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ขอขอบคุณอาจารย์นภาพร วรรณทอง คุณครูที่ปรึกษาพิเศษที่ให้คําปรึกษาในการแก้ไข และปรับปรุงโครงงานให้สําเร็จลุล่วง ไปด้วยดี ขอขอบคุณผู้ปกครองที่ให้คําปรึกษา และการสนับสนุน ในเรื่องต่างๆ รวมทั้งเป็น กําลังใจที่ดีเสมอ ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ห้องสมุด ที่ให้คําปรึกษาและสนับสนุนในการหาข้อมูลเพื่อ ประกอบการทําโครงงานนี้ สุดท้ายขอบคุณเพื่อนๆ ที่ช่วยให้คําแนะนําดี ๆ เกี่ยวกับการทํา จิรศักดิ์ ดวงมณี อภิมุข ตาอุด ณัฐธิดา ไชยสุวรรณ
- 5. ค สารบัญ หน้า กิตติกรรมประกาศ ก บทคัดย่อ ข สารบัญ ค บทที่ 1 บทนํา 1 ที่มาและความสําคัญ 1 วัตถุประสงค์ 2 ขอบเขตการศึกษา 2 ผลที่คาดว่าจะได้รับ 2 บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง 3 ความสําคัญของคอมพิวเตอร์ 3 ข้อมูลเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 3 อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Hardware) 4 เว็บไซต์ (Website) 7 โปรแกรมที่ใช้ในการดําเนินงาน 9 บทที่ 3 อุปกรณ์และวิธีการดําเนินการ 11 วัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือหรือโปรแกรมหรือที่ใช้ในการพัฒนา 11 ขั้นตอนการดําเนินงาน 11 บทที่ 4 ผลการดําเนินโครงงาน 12 ผลการพัฒนาเว็บไซต์ (Website) 12 การทดสอบการพัฒนาเว็บไซต์ 18 ผลการประเมินประสิทธิภาพ 18
- 6. ง สารบัญ (ต่อ) หน้า บทที่ 5 สรุปผลการดําเนินงาน และข้อเสนอแนะ 19 สรุปผลการพัฒนาเว็บไซต์ 19 การทดสอบการพัฒนาเว็บไซต์ 19 ผลการประเมินประสิทธิภาพ 19 อุปสรรคในการทําโครงงาน 20 ข้อเสนอแนะและแนวทางในการพัฒนาต่อ 20
- 7. บทที่ 1 บทนํา ที่มาและความสําคัญ ปัจจุบันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ ต่อทุกวงการทั่วโลก รวมทั้งวงการการศึกษาของไทยด้วย และผลพวงที่ตามมาในแง่ของเ ทคนิค วิธีการเกี่ยวกับการศึกษา และกระบวนการเรียนรู้ที่ จะเปลี่ยนไปจากกระบวนการเรียนรู้ แบบเดิม เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ไม่มีขีดจํากัด ด้วยการพัฒนาของเทคโนโลยีสารสนเทศ ทําให้ประเทศ ต่าง ๆ ทั่วโลกหันมา ให้ความสําคัญและสนใจในการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่ อให้เกิด ประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียนในทุกระดับ มีการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เละสื่ออิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น ผู้เรียนรู้รุ่นใหม่จะเป็นผู้เรียนที่รักในการศึกษาค้นคว้า เรียนรู้ด้วยตนเอง มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ สิ่งใหม่ ๆ มีความรู้ทักษะที่จําเป็นต่อการ เรียนรู้ เพื่อพัฒนาตนเองมากขึ้น (ลัดดาวัลย์ เพชรโรจน์, 2539 : 122) จึงเป็นที่ยอมรับว่า เทคโนโลยีสารสนเทศ ได้กลายเป็นปัจจัยที่สําคัญในการพัฒนา ประเทศ การจัดการศึกษาจึงต้องปรับเปลี่ยน โดยการปรับเอาเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ให้เกิด ประโยชน์ในทุกๆ ด้าน จึงได้มีข้อกําหนดไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ว่าด้วย รัฐต้องส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการผลิตสื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา รวมทั้งให้มีการพัฒนา บุคคลากรด้านการผลิตและผู้ให้มีความสามารถ มีทักษะตลอดจนผู้เรียนให้มีประสิทธิภาพที่จะ พัฒนาเพื่อให้เกิดความรู้ความสามารถและทักษะเพียงพอที่จะใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ในการ แสวงหาความรู้ด้วยตนเองได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ซึ่งเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติฉบับนี้ ได้ประกาศชัดว่าประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงการศึกษาเพื่อการเรียนรู้ และพัฒนาตนเอง อย่างต่อเนื่อง และสาระทั้งหมดของพระราชบัญญัติฉบับนี้ ต้องการให้คนไทยนั้นได้มี "ชีวิตแห่ง การเรียนรู้"เพื่อพัฒนาสังคมไทยให้ไปสู่"สังคมแห่งภูมิปัญญา"อย่างแท้จริง(ปัญญาพล, 2542 : 100) จากเหตุผลดังกล่าว ผู้จัดทําจึงสนใจที่จะพัฒนาเว็บไซต์เพื่อการศึกษา เรื่อง อุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ (Hardware) ซึ่งถือได้ว่าเป็นแนวทางหนึ่งในการนําเทคโนโลยีทางการศึกษามา ประยุกต์ใช้ร่วมกับระบบเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยเห็นว่าต่อผู้ที่สนใจในหลาย ๆ ด้าน โดยผู้สนใจสามารถเรียนรู้ ได้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเรียนรู้เร็วหรือช้าก็สามารถบรรลุจุดมุ่งหมาย ได้เหมือนกัน
- 8. 2 วัตถุประสงค์ 1. เพื่อพัฒนาเว็บไซต์เพื่อการศึกษา เรื่อง อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Hardware) 2. เพื่อใช้เป็นสื่อในการศึกษา ให้กับผู้ที่สนใจ เรื่อง อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Hardware) ขอบเขตการศึกษา 1. ขอบเขตด้านเนื้อหา เรื่อง อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Hardware) ซึ่งประกอบด้วย อุปกรณ์นําเข้า หน่วยประมวลผล หน่วยความจํา หน่วยความจําสํารอง และหน่วยแสดงผล 2. โปรแกรมที่ใช้ในการดําเนินงาน ได้แก่ 2.1 โปรแกรม Adobe Dreamweaver 2.2 โปรแกรม Adobe Flash 2.3 โปรแกรม Adobe Photoshop 2.4 โปรแกรม Sothink Glanda 2.5 โปรแกรม Microsoft Word 2.6 โปรแกรม Captivate ผลที่คาดว่าจะได้รับ 1. ได้เรียนรู้และสามารถพัฒนาเว็บไซต์ที่สามารถใช้ในการศึกษาค้นคว้าได้จริง 2. ได้นําเอาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด 3. สามารถนําความรู้ที่ได้รับจากการศึกษาเรื่อง อุปกรณ์คอมพิวเตอร์( Hardware) ไปใช้ ในการศึกษาได้
- 9. บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง การจัดทําโครงงานคอมพิวเตอร์ การพัฒนาเว็บไซต์เพื่อการศึกษา เรื่อง อุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ (Hardware) นี้ผู้จัดทําได้ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้ 1. ความสําคัญของคอมพิวเตอร์ 2. ข้อมูลเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 3. อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Hardware) 4. เว็บไซต์ (Website) 5. โปรแกรมที่ใช้ในการดําเนินงาน 1. ความสําคัญของคอมพิวเตอร์ การดําเนินชีวิตในยุคปัจจุบันจะเห็นได้ว่าคอมพิวเตอร์ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับ ชีวิตประจําวันของเราในหลายรูปแบบทั้งทางตรงและทางอ้อมเช่น ถ้าคุณกําลังดูทีวีอยู่หรือคุณกําลัง รอรับใบเสร็จจากห้างร้าน คุณก็เข้าไปเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์โดยที่คุณไม่รู้ตัว หรือแม้แต่คุณ กําลังรอสัญญาณไฟเขียวอยู่ตรงสี่แยก สัญญาณไฟก็ถูกควบคุมโดยคอมพิวเตอร์ เช่นกัน กิจกรรม ต่างๆนี้ต้องพึ่งพาคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยแทบทั้งสิ้น ปัจจุบันพัฒนาการด้านคอมพิวเตอร์ก้าวหน้า ไปอย่างรวดเร็วทําให้มีขนาดและราคาลดลง ในขณะที่ประสิทธิภาพการทํางานเพิ่มขึ้น ทําให้มี การนําคอมพิวเตอร์มาใช้ในงานต่างๆ อย่างกว้างขวาง หรือแม้กระทั่งการนําคอมพิวเตอร์มาใช้ เพื่อการพักผ่อน เพื่อการบันเทิง เล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลง ดังนั้นการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องคอมพิวเตอร์จึงเป็นเรื่องจําเป็นอย่างยิ่งเพราะจะทําให้เรา สามารถที่จะคัดเลือกคอมพิวเตอร์ เพื่อประยุกต์ใช้กับงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2. ข้อมูลเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 2.1 ความหมายของคอมพิวเตอร์ เมื่อพิจารณาศัพท์คําว่า คอมพิวเตอร์ ถ้าแปลกันตรงตัวตามคําภาษาอังกฤษ จะหมายถึง เครื่องคํานวณ ดังนั้นถ้ากล่าวอย่างกว้าง ๆ เครื่องคํานวณที่มีส่วนประกอบเป็นเครื่อง
- 10. 4 กลไกหรือเครื่องไฟฟ้า ต่างก็จัดเป็นคอมพิวเตอร์ได้ทั้งสิ้น ลูกคิดที่เคยใช้กันในร้านค้ า ไม้บรรทัด คํานวณ (slide rule) ซึ่งถือเป็นเครื่องมือประจําตัววิศวกรในยุคยี่สิบปีก่อน ในปัจจุบันความหมายของคอมพิวเตอร์จะระบุเฉพาะเจาะจง หมายถึง เครื่อง คํานวณอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถทํางานคํานวณผลและเปรียบเทียบค่าตามชุดคําสั่งด้วยความเร็วสูง อย่างต่อเนื่องและอัตโนมัติ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ให้คําจํากัดความของ คอมพิวเตอร์ไว้ค่อนข้างกะทัดรัดว่า เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ทําหน้าที่เสมือนสมองกล ใช้สําหรับแก้ปัญหาต่าง ๆ ทั้งที่ง่ายและซับซ้อน โดยวิธีทางคณิตศาสตร์ 2.2 ประวัติความเป็นมาและพัฒนาการของคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้เป็นผลมาจากการประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมือ ในการคํานวณซึ่งมีวิวัฒนาการนานมาแล้ว เริ่มจากเครื่องมือในการคํานวณเครื่องแรกคือ "ลูกคิด" (Abacus) ที่สร้างขึ้นในประเทศจีน เมื่อประมาณ 2,000-3,000 ปีมาแล้ว จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2376 นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ ชื่อ ชาร์ล แบบเบจ (Charles Babbage) ได้ประดิษฐ์เครื่องวิเคราะห์ (Analytical Engine) สามารถคํานวณค่าของตรีโกณมิติฟังก์ชั่นต่างๆ ทางคณิตศาสตร์ การทํางาน ของเครื่องนี้แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนเก็บข้อมูล ส่วนคํานวณ และส่วนควบคุม ใช้ระบบ พลังเครื่องยนต์ไอนํ้าหมุนฟันเฟือง มีข้อมูลอยู่ในบัตรเจาะรู คํานวณได้โดยอัตโนมัติ และเก็บข้อมูล ในหน่วยความจํา ก่อนจะพิมพ์ออกมาทางกระดาษ หลักการของแบบเบจนี้เองที่ได้นํามาพัฒนา สร้างเครื่องคอมพิ วเตอร์สมัยใหม่ เราจึงยกย่องให้แบบเบจเป็น บิดาแห่งเค รื่องคอมพิวเตอร์ หลังจากนั้นเป็นต้นมา ได้มีผู้ประดิษฐ์เครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นมามากมายหลายขนาด ทําให้เป็นการ เริ่มยุคของคอมพิวเตอร์อย่างแท้จริง โดยสามารถจัดแบ่งคอมพิวเตอร์ออกได้เป็น 5 ยุคได้แก่ ยุคที่ 1 ยุคของหลอดสุญญากาศ ยุคที่ 2 ยุคของทรานซีสเตอร์ ยุคที่ 3 ยุคของวงจรไอซี (IC หรือ Integrated Circuits) ยุคที่ 4 ยุคของวิแอลเอสไอ ยุคที่ 5 ยุคเครือข่าย (ยุคปัจจุบัน) 3. อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Hardware) คอมพิวเตอร์ประกอบด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากมาย หรือที่เราเรียกว่า อุปกรณ์ ฮาร์ดแวร์ (hardware) ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น หน่วยรับข้อมูล (input), หน่วยแสดงข้อมูล (output), หน่วยประมวลผล (processing unit), หน่วยความจํา (memory unit/storage unit) และอุปกรณ์อื่นๆ
- 11. 5 3.1.ฮาร์ดแวร์ (Hardware) หมายถึงโครงสร้างของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถมองเห็นและจับต้องได้เช่น คีย์บอร์ด เมาส์ จอคอมพิวเตอร์ และตัวเครื่อง นอกจากนี้ยังประกอบด้วยอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ ที่ช่วยเสริมให้คอมพิวเตอร์ทํางานได้กว้าง และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น เครื่องสแกนเนอร์ เครื่องดิจิไตส์เซอร์ ชุดมัลติมีเดีย อุปกรณ์สื่อสารอื่นๆ ดังนั้น ส่วนประกอบของเครื่องคอมพิวเตอร์ แบ่งตามหน้าที่การทํางานของเครื่องได้ดังนี้ 1) หน่วยรับข้อมูล (Input unit) เป็นอุปกรณ์รับเข้า ทําหน้าที่รับโปรแกรมและข้อมูล เข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์รับเข้าที่ใช้กันเป็นส่วนใหญ่ คือ แป้นพิมพ์ ( Keyboard ) และเมาส์ ( Mouse) นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์รับเข้าอื่น ๆ อีก ได้แก่ สแกนเนอร์ ( Scanner), วีดีโอคาเมรา (Video Camera), ไมโครโฟน (Microphone),ทัชสกรีน (Touch screen), แทร็คบอล (Trackball), ดิจิตเซอร์ เทเบิ้ล แอนด์ ครอสแชร์ (Digiter tablet and crosshair) 2) หน่วยประมวลผลกลาง (Processor) เป็นชิปเซตที่ทําหน้าที่ในการประมวลผล ภายใน ซึ่งประกอบด้วย ส่วนควบคุม (Control Unit : CU) ทําหน้าที่ควบคุมการทํางานส่วนต่างๆ ของระบบโดยส่งสัญญาณควบคุมผ่านระบบบัส (Bus) ส่วนคํานวณและเปรียบเทียบ (Arithmetic and Logic Unit : ALU) มีหน้าที่หลักคือ การคํานวณและและเปรียบเทียบข้อมูลด้วยหลักการทาง คณิตศาสตร์ และ ตรรกศาสตร์ เช่น การบวก ลบ คูณ หาร และการตรวจสอบเงื่อนไข เก็บข้อมูลที่ ได้จากการ ประมวลไว้ในส่วนที่เรียกว่า Register ปกติแล้วคอมพิวเตอร์ประกอบด้วยหน่วย ประมวลผลเพียงชุดเดียว ในกรณีของคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในงานประมวลผลข้อมูลดาวเทียมซึ่งมี ความละเอียดของข้อมูลสูง มีการประมวลผลตลอดเวลา และมีการทํางานของโปรแกรมพร้อมกัน หลายโปรแกรม หน่วยประมวลผลเพียงชุดเดียวจึงอาจไม่เพียงพอ เพราะจะทําให้เครื่องประมวลผล หยุดการทํางานในขณะที่มีการประมวลผลหนักๆ การเลือกใช้คอมพิวเตอร์แบบมีหน่วยประมวลผล 2 ชุด (two-processor) เป็นทางหนึ่งที่ช่วยให้การประมวลผลมีเสถียรภาพ โดยหน่วยประมวลผล สามารถทํางานในเวลาเดียวกันเป็นตัวสํารองซึ่งกันและกันเมื่อ CPU ตัวใดตัวหนึ่งหยุดทํางานอีกตัว หนึ่งจะทํางานแทนโดยอัตโนมัติ 3) หน่วยความจําหลัก (Main Memory) เราสามารถสั่งให้คอมพิวเตอร์ทํางานได้โดย อัตโนมัติโดยอาศัยชุดคําสั่งที่ป้อนสู่ระบบคอมพิวเตอร์จะเก็บคําสั่งเหล่านั้นไว้ในหน่วยความจํา หลักเพื่อทํางานตามชุดคําสั่ง หน่วยความจําหลักประกอบด้วย หน่วยความจําแบบอ่านได้อย่างเดียว (Read Only Memory : ROM) ทําหน้าที่ในการเก็บชุดคํา สั่งควบคุมการรับส่งข้อมูลพื้นฐาน คือ BIOS ซึ่งจะถูกกําหนดมาจากโรงงานผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ หน่วยความจําส่วนนี้จะเก็บข้อมูลไว้ ตลอดอายุการใช้งานของเครื่อง อีกประเภทหนึ่งเรียกว่า หน่วยความจําแบบชั่วคราว (Random
- 12. 6 Access Memory : RAM)หน่วยความจําส่วนนี้สามารถอ่านและบันทึกข้อมูลได้ตลอดเวลา เป็นส่วน ที่ใช้เก็บโปรแกรมและข้อมูลเพื่อส่งไปประมวลผลยังหน่วยประมวลผล หลังจากคอมพิวเตอร์ทํา การประมวลผลแล้วจะส่งข้อมูลกลับมาที่หน่วยความจํา ทําให้หน่วยความจํามีการเปลี่ยนแปลง เคลื่อนย้ายข้อมูลเป็นจํานวนมาก เปรียบเสมือนหน่วยรับฝากข้อมูลแบบชั่ วคราว ซึ่งจะถูกแทนที่ ด้วยข้อมูลใหม่เสมอ ถ้าปิดเครื่องข้อมูลในหน่วยความจําส่วนนี้จะหายไปหมด คอมพิวเตอร์ที่ใช้ใน การประมวลผลข้อมูลดาวเทียม ในปัจจุบันควรจะเลือกใช้ RAM ชนิด ที่มี Parity SDRAM PC100 โดยมี RAM ไม่ตํ่ากว่า 128 MB เนื่องจากข้อมูลดาวเทียมมีความละเอี ยดและความซับซ้อนในการ ประมวลผลหลายขั้นตอน กอปรกับโปรแกรมประมวลผลข้อมูลดาวเทียมมีขนาดใหญ่ และมีการต่อ พ่วงอุปกรณ์อื่นๆ เช่นเทปอ่านข้อมูล สําหรับอ่านข้อมูลเข้ามาเก็บไว้ในหน่วยความจํา จึงทําให้ ความต้องการหน่วยความจําหลักมีมากขึ้นและการประมวลผลแต่ละครั้งจะมีการใช้หน่ วยความจํา จะเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว 4) หน่วยบันทึกข้อมูล (Data Entry Unit) เป็นสื่อในการเก็บข้อมูล และสามารถนํา ข้อมูลกลับประมวลผลใหม่ และบันทึกข้อมูลซํ้าได้หลายครั้ง ข้อมูลที่ถูกประมวลผลแล้วเก็บอยู่ใน หน่วยความจําหลัก ถ้าปิดเครื่องข้อมูลเหล่านั้นจะหายไป จึงควรมีการบันทึกข้อมูลลงฮาร์ดดิสก์ อุปกรณ์ส่วนนี้ทําหน้าที่เป็นทั้งหน่วยรับข้อมูลและหน่วยแสดงผลข้อมูล (Input/output Device) อุปกรณ์ที่จําเป็นในระบบงานประมวลผลข้อมูลดาวเทียมและระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ได้แก่ (1) ฮาร์ดดิสต์ (Hard Disk ) แผ่นจานแม่เหล็กเก็บข้อมูลชนิดแข็ง แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ ประเภทที่เชื่อมต่อภายในเครื่อง (Internal Hard Disk) และประเภทที่เชื่อมต่อภายนอก (External hard disk) ปัจจุบันได้มีการผลิต ฮาร์ดดิสต์วามจุตั้งแต่ 6 GB ขึ้นไป โดยมีมาตรฐาน การเชื่อมต่อ IDE SCSI และ USB ซึ่งมีความเร็วในการส่งผ่านข้อมูลตามมาตรฐานแบบ SCSI จะมี ประสิทธิภาพและความเร็วในการเข้าถึงข้อมูล การส่งผ่านข้อมูลได้ดีกว่า จึงเป็นที่นิยมใช้ในงาน ประมวลผลข้อมูลและส่งผ่านข้อมูลจํานวนมาก ฮาร์ดดิสต์ที่ผลิตในปัจจุบันได้แก่ Seagate, IBM, Maxtor, Quantum (2) เทปคาร์ทริดจ (Cartridge Tape) เทปคาร์ทริดจ์มีจุดเด่นตรงสามารถบันทึก ข้อมูลซํ้าได้หลายครั้ง และมีความจุสูงถึงระดับกิกะไบต์คือ ตั้งแต่ 1 กิกะไบต์ขึ้นไป สูงถึง 14 กิกะไบต์มีลักษณะเทปคล้ายเทปคาสเซ็ท เป็นม้วนยาว 112 m ใช้สําหรับบันทึกข้อมูลที่มีจํานวน มาก เช่น การสํารองข้อมูลขององค์กรขนาดใหญ่ ใช้เป็นสื่อกลางในการบันทึกข้อมูลดาวเทียม (3) เครื่องอ่านและบันทึกข้อมูล ประเภท CD, DVD ใช้ลําแสงเลเซอร์ในการอ่าน และเขียนข้อมูลมีทั้งชนิดอ่านได้อย่างเดียว ซึ่งเรียก ว่า Compact Disk Read Only Memory (CD-ROM) Digital Video disc/Digital Versatile Disc (DVD) และชนิดที่สามารถอ่านและอ่านและ
- 13. 7 เขียนได้เรียกว่า CD-R, DVD-Rปกติแล้วการบันทึกข้อมูลลงซีดีจะบันทึกได้เพียงครั้งเดียว แต่มี เครื่องบันทึกซีดีที่ออกมารองรับการบันทึกข้อมูลได้มากกว่า 1 ครั้ง เรียกว่า CD - RW, DVD-RW สามารถลบข้อมูลในแผ่นและบันทึกใหม่ได้ (4) Floppy Disk แผ่นจานแม่เหล็กชนิดอ่อน เคลือบด้วยสาร Polyester เป็น Mylar บางๆ บรรจุในซองพลาสติก มีขนาด 3.5 นิ้ว ความจุ 1.44MB 5) หน่วยแสดงผลข้อมูล (Output Unit) ทําหน้าที่ในการแสดงผลข้อมูลที่ได้จากการ ประมวลผล เป็นส่วนที่เชื่อมความสัมพันธ์และโต้ตอบระว่างผู้ใช้กับคอมพิวเตอร์ หน่วยแสดงผลที่ เห็นได้ชัดเจนได้แก่ จอคอมพิวเตอร์ ให้ความละเอียดของการแสดงผลได้ดีกว่าการแสดงผ ลออก ทางสิ่งพิมพ์แต่เราไม่สามารถจับต้องได้เราเรียกว่า Softcopy ส่วนการแสดงผลออกทางสื่อสิ่งพิมพ์ เรียกว่า Hardcopyเช่น แผนที่ แผนภูมิต่างๆ จัดพิมพ์ในรูปกระดาษ หรือแผ่นฟิล์ม (1) จอคอมพิวเตอร์ จอคอมพิวเตอร์สําหรับงานประมวลผลข้อมูลดาวเทียมค วรใช้ จอขนาดใหญ่ 20 นิ้วขึ้นไป หรือไม่ควรตํ่ากว่า 17 นิ้ว มีหลอดภาพชนิด Trinitron ซึ่งให้ความคมชัด ของภาพได้ดี และความละเอียดในการแสดงผล 1600x1200 จุด ทําให้สามารถแสดงผลภาพได้ดี 2) เครื่องพิมพ์เครื่องพิมพ์ที่ใช้ในการแสดงผลข้อมูลดาวเทียมมีด้วยกันหลาย ประเภท แต่ที่นิยมใช้กัน คือ เครื่องพิมพ์ชนิด Laser เครื่องพิมพ์ชนิด Ink Jet ซึ่งให้ความละเอียดใน การพิมพ์สูงกว่า และพิมพ์ได้รวดเร็วกว่าเครื่องพิมพ์ชนิด Dot matrix 4. เว็บไซต์ (Website) 4.1 ความหมายของเว็บไซต์ (Website) เว็บไซต์ (Web Site) คือ แหล่งที่เก็บรวบรวมข้อมูลเอกสารและสื่อประสมต่าง ๆ เช่น ภาพ เสียง ข้อความ ของแต่ละบริษัทหรือหน่วยงานโดยเรียกเอกสารต่าง ๆ เหล่านี้ว่า เว็บเพจ (Web Page) และเรียกเว็บหน้าแรกของแต่ละเว็บไซต์ว่า โฮมเพจ (Home Page) หรืออาจกล่าวได้ว่า เว็บไซต์ก็คือเว็บเพจอย่างน้อยสองหน้าที่มีลิงก์ (Links) ถึงกัน ตามหลักคําว่า เว็บไซต์จะใช้สําหรับ ผู้ที่มีคอมพิวเตอร์แบบเซิร์ฟเวอร์หรือจดทะเบียนเป็นของตนเองเรียบร้อยแล้วเช่น www.google.co.th ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่ให้บริการสืบค้นข้อมูลเป็นต้นโฮมเพจ (Home Page) โฮมเพจ คือคําที่ใช้เรียกหน้าแรกของเว็บไซต์ซึ่งประกอบไปด้วยเมนูต่างๆและ เรื่องราวต่างๆมากมายคล้ายกับหน้าปกนิตย สารบ้านเรา ดังนั้นหากเราออกแบบหน้าโฮมเพจให้ สวยงามและน่าสนใจ โอกาสที่ผู้ชมจะแวะเข้ามาเยี่ยมเยียนโฮมเพจของ เราก็จะยิ่งมากตามไปด้วย เว็บเพจ (Web Page)
- 14. 8 เว็บเพจ คือ คําที่ใช้เรียกหน้าเอกสารต่างๆ ที่อยู่ในรูปแบบไฟล์ HTML (Hyper Text Markup Language) เปรียบเสมือนหน้ากระดาษแต่ละหน้าที่มีเรื่องราวต่างๆมากมายบรรจุอยู่ ในนิตรสาร แต่แตกต่างกันตรงที่มีการเชื่อมโยง (Link) ซึ่งเราสามารถคลิกไปที่หน้าใดของโฮมเพจ ก็ได้ เว็บไซต์ (Web Site) คือ คําที่ใช้เรียกกลุ่มของเว็บเพจ ( ดังนั้นภายในเว็บไซต์จะ ประกอบไปด้วยโฮมเพจและเว็บเพจ ) โดยเรามักใช้เรียกเว็บที่มีขนาดใหญ่และมีการจดทะเบียนชื่อ เว็บไซต์นั้นๆไว้แล้ว (Domain Name) เช่น http://www.geocities.com ,http://www.sanook.com, http://www.yahoo.com เป็นต้น สรุป เว็บไซต์คือ ชื่อเรียกหรือที่อยู่ของเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่ให้บริการเว็บเพจ คือ หน้าแต่ละหน้าที่มีการเชื่อมโยงถึงกัน 4.2 ประเภทของเว็บไซต์(Website) เว็บไซต์สามารถแบ่งออกได้เป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ 8 ประเภทตามลักษณะของเนื้อหา และรูปแบบของเว็บไซต์กลุ่มเว็บทั้ง 8 ประเภท 1) เว็บท่า (Portal site)เว็บท่านั้นอาจเรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่าเว็บวาไรตี้ (variety web) ซึ่งหมายถึงเว็บที่ให้บริการต่างๆ ไว้มากมาย มักประกอบไปด้วยบริการเครื่องมือค้นหา ที่ รวบรวมลิงค์ของเว็บไซต์ที่น่าสนใจไว้มากมายให้ได้ค้นหา รวมถึงบริการที่เกี่ยวกับเรื่องราวที่มี สาระและบันเทิงหลากหลายประเภท เช่น ดูหนัง ฟังเพลง ดูดวง ท่องเที่ยว ITเกม สุขภาพ หรืออื่นๆ 2) เว็บข่าว (News site)เว็บข่าวมักเป็นเว็บไซต์ที่สร้างขึ้นโดยองค์กรข่าวหรือ สถาบันสื่อสารมวลชนต่างๆ ที่มีสื่อมวลชนประเภทต่างๆ ของตนอยู่เป็นหลัก เช่น สถานีโทรทัศน์ สถานีวิทยุ หนังสือพิมพ์นิตยสาร วารสาร หรือแม้กระทั่งกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ 3) เว็บข้อมูล (Information site) เว็บข้อมูลนั้นเป็นเว็บที่ให้บริการเกี่ยวกับการ สืบค้นข้อมูล ข่าวสาร หรือข้อเท็จจริงต่างๆ ตนเองขึ้นมา เพื่อเป็นช่องทางให้ประชาชนหรือกลุ่ม บุคคลที่สนใจ ได้เข้ามาศึกษาค้นคว้าข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับองค์กรของตนได้อีกทั้งยังเป็นการ สร้าง โอกาสในการประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจอันดีให้เกิดแก่ประชาชนในสังคมอีกด้วย 4) เว็บธุรกิจหรือการตลาด (Business/ Marketing site) เว็บธุรกิจหรือการตลาด เป็นเว็บไซต์ที่มักสร้างขึ้นโดยองค์กรธุรกิจต่างๆ มีจุดมุ่งหมายหลักในการประชาสัมพันธ์องค์กร และเพิ่มผลกําไรทางการค้า โดยเนื้อหาส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดมักจะเป็นการนําเสนอที่มีความ น่าสนใจและตรงใจกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด ทั้งนี้เพื่อผลกําไรทางธุรกิจนั่นเอง 5) เว็บการศึกษา (Education site) เว็บการศึกษามักเป็นเว็บที่สร้างขึ้นโดย สถาบันการศึกษาต่างๆ หรือองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีนโยบายในการเผยแพร่ความรู้ และให้ โอกาสในการค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อการศึกษาแก่นักเรียน นิสิต นักศึกษา รวมถึงประชาชนทั่วไป เว็บ
- 15. 9 การศึกษาให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเรียนรู้ทั้งแบบ ที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ เว็บที่เกี่ยวกับ การศึกษาโดยตรงนั้น ได้แก่เว็บของสถาบันการศึกษา ห้องสมุด และเว็บที่ให้บริการการเรียนรู้แบบ ออนไลน์ที่เรียกว่า อี-เลิร์นนิ่ง (e-learning) นอกจากนี้แล้วยังรวมถึงเว็บที่สอนหรือให้ความรู้ เกี่ยวกับเรื่องต่างๆ เช่น การทําเว็บ การทําอาหาร การถ่ายภาพ การเขียนโปรแกรม ฯลฯ 6) เว็บบันเทิง (Entertainment site) เว็บบันเทิงนั้นมุ่งเสนอและให้บริการต่างๆ เพื่อเสริมสร้างความบันเทิง โดยทั่วไปอาจนําเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับการบันเทิงทั่วไป เช่น ดนตรี ภาพยนตร์ ดารา กีฬา ความรั ก บทกลอน การ์ตูน เรื่องขําขัน รวมถึงการให้บริการดาวน์โหลด โลโก้และริงโทนสําหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่อีกด้วย เว็บประเภทนี้อาจมีรูปแบบที่เป็นอินเตอร์แอค ทีฟที่ตื่นตาตื่นใจ หรือใช้เทคโนโลยีมัลติมิเดียได้มากกว่าเว็บประเภทอื่น 7) เว็บองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกําไร (None-profit organization site) เว็บประเภท นี้มักจะเป็นเว็บที่สร้างขึ้นโดยกลุ่มบุคคลหรือองค์กรต่างๆ ที่มีนโยบายในการสร้างสรรค์ที่ ช่วยเหลือสังคมโดยที่ไม่หวังผลกําไรหรือค่าตอบแทน ซึ่งกลุ่มบุคคลหรือองค์กรเหล่านี้ได้แก่ สมาคม ชมรม มู ลนิธิ และโครงการต่างๆ โดยอาจมีจุดประสงค์เฉพาะที่แตกต่างกัน เช่น เพื่อทํา ความดี สร้างสรรค์สังคม พิทักษ์สิ่งแวดล้อม ปกป้องสิทธิมนุษยชน รณรงค์ไม่ให้สูบบุหรี่ หรืออาจ รวมตัวกันเพื่อดูแลผลประโยชน์ของสมาชิกในกลุ่ม 8) เว็บส่วนตัว (personal site) เว็บส่วนตัวอาจเป็นเว็บของคนๆ เดียว เพื่อนฝูง หรือครอบครัวก็ได้โดยอาจจัดทําขึ้นด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน เช่น แนะนํากลุ่มเพื่อน โชว์รูปภาพ แสดงความคิดเห็น เขียนไดอารี่ประจําวัน นําเสนอผลงาน ถ่ายทอดประสบการณ์เกี่ยวกับสิ่งที่ เชี่ยวชาญหรือสนใจ โดยทั้งหมดนี้อาจทําเป็นเว็บไซต์หรือเป็นเพียงเว็บเพจหน้าเดียวก็ได้ 5. โปรแกรมที่ใช้ในการดําเนินงาน 5.1 โปรแกรม Adobe Dreamweaver Macromedia Dreamweaver เป็นโปรแกรมสําหรับออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ ด้วยการสร้างเว็บเพจและเว็บแอพพลิเคชั่น ที่กําลังเป็นที่นิยมนํามาสร้างเว็บเพจในปัจจุบันเนื่องจาก ใช้งานง่าย คุณสามารถที่จัดวางข้อความ รูปภาพ ตารางข้อมูล แบบฟอร์ม เป็นต้น ลงไปในเว็บเพจ ได้อย่างง่ายดายโดยไม่จําเป็นต้องใช้โค้ด HTML ใน Dreamweaver มีเครื่องมือมากมายให้ใช้ในการ พัฒนาเว็บได้อย่างรวดเร็ว สวยงาม และมีประสิทธิภาพสูง Dreamweaver มีเครื่องมือในการจัดการ และบริหารเว็บ ไซท์ที่ช่วยให้คุณจัดการกับ Site และไฟล์ที่เกี่ยวข้องกับ Site ของคุณ เช่น สร้าง ลบ ย้าย และเปลี่ยนชื่อไฟล์ เป็นต้น
- 16. 10 5.2 โปรแกรม Adobe Flash เป็นซอฟต์แวร์ ที่ใช้สร้างชิ้นงานกราฟิกที่พบเป็นส่วนมากบนเว็บไซด์ต่าง ๆ และ สามารถพบชิ้นงาน Flash บน เกมส์ สื่อโฆษณาบนเว็บไซต์อินเตอร์เฟสต่าง ๆ สร้างชิ้นงาน Interactive บนเว็บไซต์การ์ตูนแอนิเมชันต่างๆ สร้างเว็บไซต์ได้สวยงาม และสร้างลูกเล่นต่าง ๆ สร้างเกมส์ (GAME) 5.3 โปรแกรม Adobe Photoshop Photoshop เป็นโปรแกรมสําหรับสร้างและตกแต่งภาพที่มีชื่อเสียง และได้รับ ความนิยมมากที่สุด เนื่องจากคุณสมบัติเด่นที่มีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นความสามารถจัดการกับ ไฟล์สารพัดชนิดที่ใช้ในงานประเภทต่าง ๆ ทั้งภาพที่ถ่ายจากกล้องดิจิตอล และภาพที่จะนําไปผ่าน กระบวนการการพิมพ์ โปรแกรมมีความสามารถเป็นเยี่ยมในการแก้ไขตกแต่งภาพ และการสร้าง เอฟเฟ็คต์พิเศษต่าง ๆ มีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นสูง 5.4 โปรแกรม Sothink Glanda เป็นโปรแกรมสําหรับสร้างข้อความอักษร Flash ซึ่งมีลักษณะเป็นข้อความ เคลื่อนไหว ในลักษณะต่างๆ หลากหลายรูปแบบ อันจะทําให้เว็บไซต์มีความน่าสนใจและสวยงาม มากยิ่งขึ้น นอกจากการทํา effect ให้กับข้อความแล้ว ยังสามารถทํากับรูป ภาพ ได้อีกด้วย และ สามารถทําข้อสอบได้ 5.5 โปรแกรม Microsoft Word เป็นโปรแกรมสําหรับสร้างเอกสาร โปรแกรมประมวลผลคํา (Word Processor) หรือที่เรียกกันอย่างย่อ ๆ ว่า “เวิร์ด” (Word) เป็นโปรแกรมที่ใช้ในการสร้างงานเอกสารทั่วไป ตัวอย่างเช่น จดหมาย ใบปะหน้าแฟกซ์ ทํารายงาน หรือแม้กระทั่งหนังสือเป็นเล่มก็ตาม โปรแกรม ไมโครซอฟต์เวิร์ดเป็นหนึ่งในชุดโปรแกรมไมโครซอฟต์ออฟฟิศ (Microsoft Office) 5.6 โปรแกรม Captivate เป็นโปรแกรมสาหรับสร้างมัลติมีเดียบนเว็บการจับภาพหน้าจอการทําภาพเคลื่อนไหว และอื่น ๆ โปรแกรม Captivate สามารถสร้างบทเรียนแบบมีปฏิสัมพันธ์ สร้างข้อสอบ ได้อย่างดี โดยผู้ใช้ไม่จําเป็นต้องเขียนคําสั่ง เพราะโปรแกรมมีคํา สั่งต่าง ๆ ไว้ให้เลือกผ่านทางหน้าจอของ โปรแกรม จึงเป็นโปรแกรมที่ใช้งานง่าย เรียนรู้ได้เร็ว เหมาะสาหรับครู และผู้ที่มีหน้าที่ฝึกอบรม บุคลากร และสามารถ ส่งขึ้นเว็บ You tube ได้ทันที หรือจะทําเป็นไฟล์ PDF ก็ได้
- 17. บทที่ 3 อุปกรณ์และวิธีการดําเนินการ การจัดทําโครงงานคอมพิวเตอร์ การพัฒนาเว็บไซต์เพื่อการศึกษา เรื่อง อุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ (Hardware) มีวิธีการดําเนินโครงงานตามขั้นตอนต่อไปนี้ 1. วัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือหรือโปรแกรมหรือที่ใช้ในการพัฒนา 1.1 เครื่องคอมพิวเตอร์ พร้อมเชื่อมต่อระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต 1.2 โปรแกรมที่ใช้ในการดําเนินงาน ได้แก่ 1) โปรแกรม Adobe Dreamweaver 2) โปรแกรม Adobe Flash 3) โปรแกรม Adobe Photoshop 4) โปรแกรม Sothink Glanda 5) โปรแกรม Microsoft Word 6) โปรแกรม Captivate 2. ขั้นตอนการดําเนินงาน 2.1 คิดหัวข้อโครงงานเพื่อนําเสนอครูที่ปรึกษาโครงงาน 2.2 ศึกษาและค้นคว้าข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่สนใจ คือเรื่องอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมเพียงใดจากเว็บไซต์ต่าง ๆ และจัดเก็บข้อมูลเพื่อจัดทําเนื้อหาต่อไป 2.3 ศึกษาการสร้างเว็บไชต์โดยใช้โปรแกรม Adobe Dreamweaver ,Adobe Flash , Sothink glanda , Captivate จากอกสาร และจากเว็บไซต์ต่างๆ ที่เสนอเทคนิค วิธีการสร้าง 2.4 จัดทําโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์เพื่อนําเสนอครูที่ปรึกษา 2.5 จัดทําโครงงานคอมพิวเตอร์การพัฒนาเว็บไชต์ เรื่องอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ โดยสร้าง บทเรียนที่สนใจตามแบบเสนอโครงร่างที่เสนอ 2.6 นําเสนอรายงานความก้าวหน้าให้ครูที่ปรึกษาโครงงานได้ตรวจสอบ ซึ่งครูที่ปรึกษา จะให้ข้อเสนอแนะต่าง ๆ เพื่อให้จัดทําเนื้อหาและการนําเสนอที่น่าสนใจ ทั้งนี้เมื่อได้รับคําแนะนํา ก็จะนํามาปรับปรุงแก้ไขแก้ไขให้เป็นที่น่าสนใจยิ่งขึ้น 2.7 จัดทําเอกสารรายงานโครงงานคอมพิวเตอร์ 2.8 ประเมินผลงานโดยให้ครูที่ปรึกษาประเมินผลงานและให้เพื่อนผู้ที่สนใจร่วมประเมิน
- 18. บทที่ 4 ผลการดําเนินโครงงาน การจัดทําโครงงานคอมพิวเตอร์ การพัฒนาเว็บไซต์เพื่อการศึกษา เรื่อง อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Hardware)มีผลการดําเนินโครงงาน ดังนี้ 1. ผลการพัฒนาเว็บไซต์ (Website) 1.1 เปิดเว็บไซต์ http://www.kws.ac.th/comp จะ1ปรากฏหน้าจอ ดังนี้ ภาพที่ 1 หน้าจอเว็บไซต์เรื่อง คอมพิวเตอร์ (Hardware) ภาพที่ 2 MENU
- 19. 13 จากภาพที่ 2 ประกอบด้วยเมนู ดังนี้ 1.แบบทดสอบก่อนเรียน 2.เนื้อหาบทเรียน 3.แบบทดสอบหลังเรียน 4.ใบความรู้ 5.ใบงาน 1.1 แบบทดสอบก่อนเรียน แบบทดสอบก่อนเรียนมีทั้งหมด 5 เรื่อง ได้แก่ เรื่อง อุปกรณ์นําเข้า หน่วยความจํา หน่วยประมวลผล หน่วยความจําสํารอง หน่วยแสดงผล เรื่องละ 5 ข้อ ภาพที่ 3 แบบทดสอบก่อนเรียนเรื่อง หน่วยความจํา ภาพที่ 4 แบบทดสอบก่อนเรียนเรื่อง หน่วยประมวลผล
- 20. 14 ภาพที่ 5 แบบทดสอบก่อนเรียนเรื่อง หน่วยความจําสํารอง 1.2 เนื้อหาบทเรียน เนื้อหามีทั้งหมด 5 เรื่อง ได้แก่ อุปกรณ์นําเข้า หน่วยความจํา หน่วยประมวลผล หน่วยความจําสํารอง หน่วยแสดงผล ภาพที่ 6 เนื้อหา
- 21. 15 1.3 แบบทดสอบหลังเรียน แบบทดสอบก่อนเรียนมีทั้งหมด 5 เรื่อง ได้แก่ เรื่อง ได้แก่ เรื่อง อุปกรณ์นําเข้า หน่วยความจํา หน่วยประมวลผล หน่วยความจําสํารอง หน่วยแสดงผล เรื่องละ 5 ข้อ ภาพที่ 7 แบบทดสอบหลังเรียน ภาพที่ แบบทดสอบหลังเรียน เรื่อง อุปกรณ์นําเข้า
- 22. 16 ภาพที่ 9 แบบทดสอบหลังเรียน เรื่อง หน่วยความจําสํารอง ภาพที่ 10 แบบทดสอบหลังเรียน เรื่อง หน่วยแสดงผล
- 23. 17 14 ใบความรู้ ภาพที่ 11 ใบความรู้ 1.5 ใบงาน ภาพที่ 12 ใบงาน
- 24. 18 2. การทดสอบการพัฒนาเว็บไซต์ ในการทดสอบ การพัฒนาเว็บไซต์เพื่อการศึกษา เรื่อง อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Hardware) ผู้จัดทํา ได้ใช้วิธีการทดสอบ โดยผู้จัดทํา ทดสอบการเลือกใช้เมนูต่าง ๆ การทําแบบทดสอบ การศึกษาเนื้อหา ข้อมูลที่นํามาทดสอบเป็นทั้งข้อมูลที่ถูกต้องและข้อมูลที่ผิดพลาด จากการทดสอบ พบว่าเว็บไซต์เพื่อการศึกษา เรื่อง อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Hardware) ที่ ได้พัฒนาขึ้นนี้สามารถทํางานได้ครบความต้องการของผู้ใช้คือ ทําแบบทดสอบก่อนเรียน ศึกษา เนื้อหา ใบความรู้ ทําใบงาน และทําแบบทดสอบหลังเรียนได้ 3. ผลการประเมินประสิทธิภาพ ผลการประเมินประสิทธิภาพของ การพัฒนา เว็บไซต์เพื่อการศึกษา เรื่อง อุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ (Hardware) แสดงค่าคะแนนเฉลี่ย (X) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และค่าระดับ ประสิทธิภาพของกลุ่มตัวอย่างของผู้ใช้งานจํานวน 20 คน มีดังต่อไปนี้ ตารางที่ 1 แบบประเมินเพื่อหาประสิทธิภาพของการพัฒนาเว็บไซต์เพื่อการศึกษา เรื่อง อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Hardware) รายการประเมิน X S.D. ความหมาย 1. ความชัดเจนของข้อความที่แสดงบนจอภาพ 4.21 0.419 ดี 2. ความเหมาะสมของการใช้สีของตัวอักษรพื้นหลังและรูปภาพ 4.05 0.524 ดี 3. ความเหมาะสมของตําแหน่งการจัดวางส่วนต่างๆ บนจอภาพ 3.95 0.405 ดี 4. คําสั่งบนหน้าจอใช้สื่อสารกับผู้ใช้ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ 3.68 0.820 ดี 5. การใช้งานง่าย 4.21 0.419 ดี 6. ความเหมาะสมของปริมาณข้อมูลที่นําเสนอในแต่ละจอภาพ 3.47 0.513 พอใช้ รวมเฉลี่ย 3.92 0.353 ดี จากตารางที่ 1 แบบประเมินเพื่อหาประสิทธิภาพของ การพัฒนาเว็บไซต์เพื่อการศึกษา เรื่อง อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Hardware) มีค่าเฉลี่ยรวม อยู่ในระดับดี (X=3.92)
- 25. บทที่ 5 สรุปผลการดําเนินงาน และข้อเสนอแนะ การจัดทําโครงงานคอมพิวเตอร์ การพัฒนาเว็บไซต์เพื่อการศึกษา เรื่อง อุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ (Hardware) นี้สรุปผลการดําเนินงานโครงงานและข้อเสนอแนะ ได้ดังนี้ 1. สรุปผลการพัฒนาเว็บไซต์ ผู้จัดทําได้พัฒนาเว็บไซต์ เพื่อการศึกษา เรื่อง อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Hardware) ซึ่งมี รายละเอียด ดังนี้ 1.1 แบบทดสอบก่อนเรียน 1.2 เนื้อหาบทเรียน 1.3 แบบทดสอบหลังเรียน 1.4 ใบความรู้ 1.5 ใบงาน 2. การทดสอบการพัฒนาเว็บไซต์ ในการทดสอบ การพัฒนาเว็บไซต์เพื่อการศึกษา เรื่อง อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Hardware) ผู้จัดทํา ได้ใช้วิธีการทดสอบ โดยผู้จัดทํา ทดสอบการเลือกใช้เมนูต่าง ๆ การทําแบบทดสอบ การศึกษาเนื้อหา ข้อมูลที่นํามาทดสอบเป็นทั้งข้อมูลที่ถูกต้องและข้อมูลที่ผิดพลาด จากการทดสอบ พบว่าเว็บไซต์เพื่อการศึกษา เรื่อง อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Hardware) ที่ ได้พัฒนาขึ้นนี้สามารถทํางานได้ครบความต้องการของผู้ใช้คือ ทําแบบทดสอบก่อนเรียน ศึกษา เนื้อหา ใบความรู้ ทําใบงาน และทําแบบทดสอบหลังเรียนได้ 3. ผลการประเมินประสิทธิภาพ ผลการประเมินประสิทธิภาพของ การพัฒนา เว็บไซต์เพื่อการศึกษา เรื่อง อุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ (Hardware) มีค่าเฉลี่ยรวม อยู่ในระดับดี (X=3.92)
- 26. 20 4. อุปสรรคในการทําโครงงาน การพัฒนาเว็บไซต์เพื่อการศึกษา เรื่อง อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Hardware) และได้มีการ ทดลองใช้งานทําให้พบปัญหาต่าง ๆ ดังนี้ 1. รูปแบบตัวอักษรในโปรแกรม Captivate เมื่อ Publish แล้วตัวอักษรห่างกันมาก 2. การทําลิงค์ไฟล์ PDF ในโปรแกรม Dreamweaver เมื่อลิงค์แล้วไม่สามารถเลือก เมนูหลักของเว็บไซต์ได้ต้องใช้ปุ่ม Back 5. ข้อเสนอแนะและแนวทางในการพัฒนาต่อ 1. ควรมีการเพิ่มเนื้อหาที่มีความหลากหลายให้มากกว่านี้ 2. ควรเพิ่มแบบทดสอบให้มากกว่านี้
- 27. บรรณานุกรม ความสําคัญของคอมพิวเตอร์.[ออนไลน์].เข้าถึงได้จาก: http://ku-scmicro36bkk.tripod.com/0.0.htm (วันที่สืบค้น : 2 สิงหาคม 2555). นิชนอภา อรรถพร. การสร้างเว็บบล็อก. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: http://www.slideshare.net/nitnipa/ss-9209972 (วันที่สืบค้น : 2 สิงหาคม 2555). ประวัติความเป็นมาของคอมพิวเตอร์[ออนไลน์].เข้าถึงได้จาก: http://www.thaiwbi.com/course/Intro_com/Intro_com/wbi1/hie/menu2.htm (วันที่สืบค้น : 6 สิงหาคม 2555). ลัดดาวัลย์ เพชรโรจน์. “การพัฒนาการศึกษาไทยสองทศวรรษหน้า”, วารสารสุโขทัยธรรมาธิราช. 9 (กันยายน-ธันวาคม 2539), 123-166. อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ Hardware. [ออนไลน์].เข้าถึงได้จาก: http://web.ku.ac.th/schoolnet/snet1/hardware/index01.htm(วันที่สืบค้น: 7 สิงหาคม 2555).
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
1 ความหมายของซอฟต์แวร์
ซอฟต์แวร์ (Software) หมายถึง ส่วนที่ทำหน้าที่เป็นคำสั่งที่ใช้ควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ หรืออาจเรียกว่า “ โปรแกรม ” ก็ได้ ซึ่งหมายถึงคำสั่งหรือชุดคำสั่ง สามารถใช้เพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงาน เราต้องการให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำอะไรก็เขียนเป็นคำสั่งที่จะต้องสั่งเป็นขั้นตอน และแต่ละขั้นตอนต้องทำอย่างละเอียดและครบถ้วนก็จะเรียกว่า นักเขียนโปรแกรม (Programmer) สำหรับการเขียนโปรแกรมดังกล่าวใช้ภาษาที่ใช้ในการเขียนโปรแกรมโดยเฉพาะ หรือหมายถึง ภาษาที่เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ เช่น ภาษาเบสิก ภาษาโคบอล ภาษาปาสคาล เป็นต้น โปรแกรมที่เขียนขึ้นมาก็จะนำไปใช้ในงานเฉพาะอย่าง เช่น โปรแกรมสต็อกสินค้าคงคลัง โปรแกรมคำนวณภาษี โปรแกรมคิดเงินเดือนพนักงาน เป็นต้น
ประเภทของซอฟต์แวร์
ซอฟต์แวร์จะแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ ประเภท คือ ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software) และซอฟต์แวร์ประยุกต์ ( Application Softwaer) ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
1. ซอฟต์แวร์ระบบ ( System Software)
หมายถึง โปรแรกมที่มีหน้าที่ควบคุมการทำงานของฮาร์ดแวร์ทุกอย่างและอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ แบ่งออกเป็นโปรแกรมตามหน้าที่การทำงานดังนี้
1.1 OS (Operating System)
คือ โปรแกรมระบบที่ทำหน้าที่ควบคุมการใช้งานส่วนต่าง ๆ ของเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น ควบคุมหน่วยความจำ ควบคุมหน่วยประมวลผล ควบคุมหน่วยรับและควบคุมหน่วยแสดงผล ตลอดจนแฟ้มข้อมูลต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพในการทำงานสูงที่สุด และสามารถใช้อุปกรณ์ทุกสาวนของคอมพิวเตอร์และช่วยจัดการกระบวนการพื้นฐานที่สำคัญ ๆ ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่นการเปิด หรือปิดไฟล์ การสื่อสารกันระหว่างชิ้นส่วนต่าง ๆ ภายในเครื่อง การส่งข้อมูลออกสู่เครื่องพิมพ์หรือสู่จอภาพ เป็นต้น ก่อนที่คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะสามารถอ่านไฟล์ต่าง ๆ หรือสามารถใช้ซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ได้จะต้องผ่านการดึงระบบปฏิบัติการออกมาฝังตัวอยู่ในหน่วยความจำก่อน ปัจจุบันนี้มีโปรแกรมระบบบอยู่หลายตัวด้วยกันซึ่งแต่ละตัวนั้นก็เป็นโปรแกรมระบบปฏิบัติการเหมือนกัน แต่ต่างกันที่ลักษณะการทำงานจะไม่เหมือนกัน ดังนี้ DOS (Disk operating System) เป็นระบบปฏิบัติการที่นิยมใช้กันมาตั้งแต่ในอดีตออกมาพร้อมกับเครื่องพีซีของไอบีเอ็มรุ่นแรก ๆ จากนั้นก็มีการพัฒนารุ่นใหม่ออกมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงเวอร์ชั่นสุดท้ายคือ เวอร์ชั่น 6.22 หลังจากที่มีการประกาศใช้วินโดวส์ 95 ก็คงจะไม่ผลิต DOS เวอร์ชชั่นใหม่ออกมาแล้ว โดยทั่วไปจะนิยมใช้วินโดวส์ 3. x ซึ่งถือว่าเป็นโปรแกรมเสริมชนิดหนึ่งที่ใช้ในดอส
UNIX เป็นระบบ OS ที่สามารถใช้ร่วมกันได้หลายคน (Multiuser) หรือเป็นระบบปฏิบัติการแบบเครือข่าย โดยที่ผู้ใช้แต่ละคนจะต้องมีชื่อและพาสเวิร์ดส่วนตัว และสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้ทั่วโลก โดยผ่านทางสายโทรศัพท์และมีModem เป็นตัวกลางในการรับส่งข้อมูลหรือโอนย้ายข้อมูล นิยมใช้อย่างแพร่หลายในมหาวิทยาลัย หน่วยงานรัฐบาล หรือบริษัทเอกชนที่มีระบบคอมพิวเตอร์ใหญ่ ๆ ใช้ ในระบบยูนิกซ์เองก็มีวินโดวส์อีกชนิดหนึ่งใช้เรียกว่า X Windowsสำหรับผู้ที่ต้องการใช้ระบบยูนิกซ์ในเครื่องพีซีที่บ้านก็มีเวอร์ชั่นสำหรับพีซีเรียกว่า Linux ซึ่งจะมีคำสั่งพื้นฐานคล้าย ๆ กับระบบยูนิกซ์
LAN เป็นระบบปฏิบัติการแบบเครือข่ายเช่นเดียวกัน แต่จะใช้เชื่อมโยงกันใกล้ ๆ เช่น ในอาคารเดียวกันหรือระหว่างอาคารที่อยู่ใกล้กัน โดยใช้สาย Lan เป็นตัวเชื่อมโยง
WINDOWS เป็นระบบปฏิบัติการที่กำลังนิยมใช้กันมากในปัจจุบัน ซึ่งพัฒนามาถึงรุ่น Windows 2000 แล้ว บริษัทไมโครซอฟต์ได้เริ่มประกาศใช้ MS Windows 95 ครั้งแรกเมื่อ 24 สิงหาคม ค.ศ.1995 โดยมีความคิดที่ว่าจะออกมาแทน MS-DOS และ วินโดวส์ 3. X ที่ใช้ร่วมกันอยู่ ลักษณะของวินโดวส์ 95 จึงคล้ายกับเป็นระบบโอเอสที่มีทั้งดอสและวินโดวส์อยู่ในตัวเดียวกัน แต่เป็นวินโดวส์ที่มีลักษณะพิเศษกว่าวินโดวส์เดิม เช่น มีคุณสมบัติเป็น Plug and play ซึ่งสามารถจะรู้จักฮาร์ดแวร์ต่าง ๆ ที่ติดตั้งอยู่ในเครื่องได้โดยอัตโนมัติ มีลักษณะเป็นระบบ 32 บิต ในขณะที่วินโดวส์ เดิมเป็นระบบ 16 บิต เป็นต้น บริษัทไมโครซอฟต์ไม่ได้หยุดเพียงแค่วินโดวส์ 95 แต่ได้มีการพัฒนาเพิ่มฟังก์ชันใหม่ ๆ เข้าไป ในที่สุดก็ออกระบบโอเอสตัวถัดมาเป็น MS Windows 98 และ MS Windows 2000 ตามลำดับโดยที่มีการติดตั้ง และการใช้งานที่มีพื้นฐานไม่แตกต่างกันมากนัก จึงง่ายสำหรับผู้ใช้ในการปรับตัวเข้ากับระบบโอดอสใหม่ ๆ
Windows NT เป็นระบบ OS ที่ผลิตจากบริษัทไมโครซอฟต์เข่นเดียวกัน เป็นระบบ 32 บิต มีรูปลักษณ์เป็นกราฟิกที่ต้องใช้เมาส์กล้ายกับวินโดวส์ทั่วไป แต่นิยมใช้ในระบบเวิร์กสเตชันมากกว่าในเครื่องพีซีทั่ว ไป
OS/2 เป็นระบบ OS ที่ผลิตออกมาจากบริษัท IBM เป็นระบบ 32 บิต ที่มีรูปลักษณ์เป็นกราฟฟิกที่ต้องใช้เมาส์ คล้ายกับวินโดวส์ทั่วไปเช่นกัน
1.2 Translation Program คือโปรแกรมที่ทำหน้าที่ในการแปลโปรแกรมหรือชุดคำสั่งที่เขียนด้วยภาษาที่ไม่ใช่ภาษาเครื่อง หรือภาษาเครื่องที่ไม่เข้าใจให้เป็นภาษาที่เครื่องสามารถรู้เรื่องเข้าใจ และนำไปปฏิบัติได้ เช่น ภาษา BASIC ,COBOL,C, PASCAL, FORTRAN, ASSEMBLY เป็นต้น สำหรับตัวแปลนั้นจะมี 3 แบบคือ
Assembler เป็นโปแกรมที่ใช้แปลภาษาแอสแซมบลี ซึ่งมีลักษณะการแปลทีละคำสั่ง เมื่อทำตามคำสั่งนั้นเสร็จแล้ว ก็จะแปลคำสั่งถัดไปเรื่อย ๆ จนจบ
Interpreter เป็นโปรแกรมที่ใช้แปลภาษาเบสิก โดยจะแปลทีละคำสั่งแล้วทำตามคำสั่งนั้น แล้วแปลต่อไปเรื่อย ๆ จนจบโปรแกรม
Compiler เป็นโปรแกรมที่ใช้แปลภาษาระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่อง ซึ่งจะแปลทั้งโปรแกรมให้เสร็จก่อน จากนั้นจึงจะปฏิบัติตามคำสั่งทีละคำสั่ง
1.3 Utility Program คือ โปรแกรมระบบที่ทำหน้าที่ในการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ ให้สามารถทำงานได้สะดวก รวดเร็วและง่ายขึ้น เช่น โปรแกรมที่ใช้ในการเรียงลำดับข้อมูล โปรแกรมโอนย้ายข้อมูลจากชนิดหนึ่งไปยังอักชนิดหนึ่ง โปรแกรมรวบรวมข้อมูล 2 ชุดเข้าด้วยกัน โปรแกรมคัดลอกข้อมูลเป็นต้น
1.4 Diagnostic Program คือ โปรแกรมระบบที่ทำหน้าที่ตรวจสอบข้อผิดพลาดใน การทำงานของอุปกรณ์ต่าง ๆ ของเครื่องคอมพิวเตอร์ ได้แก่ โปแกรม QAPLUS โปรแกรม NORTON เป็นต้น และเมื่อพบข้อผิดพลาดก็จะแจ้งขึ้นบนจอภาพให้ทราบ
2. ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software)
หมายถึง โปรแกรมที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์เป็นผู้เขียนมาใช้งานเอง เพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ต้องการ ซึ่งแบ่งได้ดังนี้
2.1 User Program คือ โปรแกรมที่ผู้ใช้เขียนมาใช้เอง โดยใช้ภาษาระดับต่าง ๆ ทางคอมพิวเตอร์ เช่น ภาษา BSDIC , COBOL , PSDCSL , C , ASSEMBLY FORTRAN ฯลฯ ซึ่งการที่จะเลือกใช้ภาษาใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของงานเหล่านั้นด้วย เช่น โปรแกรมระบบบัญชี, โปแกรมควบคุมสต็อกสินค้า, โปแกรมแฟ้มทะเบียนประวัติ โปรแกรมคำนวณภาษี,โปรแกรมคิดเงินเดือน เป็นต้น
2.2 Package Program คือ โปรแกรมสำเร็จรูปซึ่งเป็นโปรแกรมที่ถูกสร้างหรือเขียนขึ้นมาโดยบริษัทต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้วพร้อมที่จะนำไปใช้งานต่าง ๆ ได้ทันทีตัวอย่างเช่น
Word Processor โปรแกรมที่ช่วยในการทำเอกสาร พิมพ์งานต่าง ๆ เช่น เวิร์ดจุฬา, เวิร์ดราชวิถี, Microsoft Word, WordPerfect, AmiPro เป็นต้น
Spreadsheet โปรแกรมที่ใช้ในการคำนวณข้อมูล มีลักษณะเป็นตาราง เช่น Lotus 1-2-3, Microsoft Excel เป็นต้น
Database โปรแกรมที่ใช้ในการทำงานทางด้านฐานข้อมูลจะใช้เก็บรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ที่มีขนาดใหญ่ และมีข้อมูลเป็นจำนวนมาก เช่น dBASE lll Plis, Foxbase, Microsoft Access, foxpro, Visual Foxpro เป็นต้น
โปรแกรมที่ใช้ในการทำงานทางด้านการสร้างรูปภาพและกราฟฟิกต่าง ๆ รวมทั้งงานทางด้านสิ่งพิมพ์ การทำโบรชัวร์ แผ่นพับ นามบัตร เช่น CorelDraw, Photoshop, Harvard Graphic, Freelance Graphic, PowerPoint, PageMakerเป็นต้น
จากข้างต้นเป็นตัวอย่างของ Package Program ที่นิยมใช้งานกันในปัจจุบัน ที่จริงแล้ว Package Program สามารถแบ่งออกได้เป็น 9 ประเภทด้วยกัน สำหรับรายละเอียดของโปรแกรมแต่ละประเภทนั้น มีรายละเอียดดังนี้
1. โปรแกรมทางด้าน Word Processor
โปรแกรมทางด้าน Word Processor นั้น เป็นโปรแกรมที่ทำงานเกี่ยวกับทางด้านการประมวลผลคำ สามารถจัดทำเอกสาร รายงาน จดหมาย หนังสือต่าง ๆ ได้ ทำให้ได้งานที่มีประสิทธิภาพ สวยงาม เนื่องจากสามารถจัดรูปแบบงานตามต้องการได้รวมทั้งยังแก้ไขงานที่ทำได้ด้วย อีกทั้งยังช่วยประหยัดเวลาในการแก้ไขงาน และสามารถค้นหาข้อความต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก
โปรแกรมที่จัดอยู่ในกลุ่ม Word Processor มีดังนี้ คือ WordStat, ราชวิถีเวิร์ด เวิร์ดจุฬา โปรแกรมเหล่านี้จะเป็นโปรแกรมที่ทำงานบน Dos นอกจากนั้นยังมีโปรแกรมที่ทำงานบนวินโดวส์อีกด้วย คือ Word Perfect, Microsoft Wordและ AmiPro โปรแกรมเหล่านี้จะใช้งานง่าย สะดวก สามารถจัดรูปแบบต่าง ๆ ได้ตามต้องการ รวมทั้งสามารถนำภาพมาประกอบกับงานเอกสาร หรือนำเอกสารจากโปรแกรมอื่นมาจัดรูปแบบในโปรแกรมเหล่านี้ก็ได้
2. โปรแกรมทางด้าน Spreadsheet
โปรแกรมทางด้าน Spreadsheet เป็นโปรแกรมที่มีลักษณะเป็นกระดาษทำการขนาดใหญ่ หรือ เรียกว่า Worksheetประกอบด้วยส่วนที่เป็น Row หรือแถวตามแนวนอนและส่วนที่เป็น Column หรือแถวตามแนวตั่ง ซึ่งใช้ในด้านการคำนวณเป็นส่วนมาก นอกจากนั้นยังมีการนำเสนอข้อมูลออกมาในรูปของกราฟโดยสร้างเป็นกราฟ 2 มิติและ 3 มิติได้อีกด้วย โปรแกรม Spreadsheet เหมาะกับการทำงานในด้านการบัญชี การเงิน การวิเคราะห์ข้อมูล หรืองานการคิดคะแนนและเกรดของนักศึกษา เป็นต้น สำหรับโปแกรมที่อยู่ในกลุ่มนี้ ได้แก่ โปรแกรม Lotus ซึ่งมีทั้งที่ทำงานบน Dosและบน Windows, โปรแกรม Microsoft Excel โปรแกรมเหล่านี้สามารถจัดรูปแบบตัวอักษรและกำหนดขนาดตัวอักษร รวมทั้งสามารถตีกรอบ สร้างตารางระบายสีลงในเซลล์ต่าง ๆ ได้ นอกจากนั้นยังสามารถนำรูปกราที่สร้างไว้มารวมกับข้อมูลที่อยู่ใน Worksheet เดียวกันได้ ทำให้ได้งานที่สมบูรณ์ขึ้น
3. โปรแกรมทางด้าน Database
โปรแกรมประเภทนี้เป็นโปรแกรมที่ทำงานทางด้านการจัดการฐานข้อมูล ช่วยจัดเก็บข้อมูล แก้ไข ค้นหา เพิ่มเติม รวมทั้งการจัดเรียงข้อมูล ทำให้ผู้ใช้สะดวกรวดเร็วสามารถทำงานได้เป็นระบบ โปรแกรม Database เหมาะกับการทำงานที่มีข้อมูลมาก ๆ เช่น การเก็บสต็อกสินค้าคงคลัง การเก็บประวัติพนักงาน การเก็บรายชื่อนักศึกษาในโรงเรียน การเก็บรายชื่อหนังสือในห้องสมุด เป็นต้น
โปรแกรมที่อยู่ในกลุ่มนี้ได้แก่ โปรแกรม dBase lll Plus ซึ่งทำงานบน Dos โปรแกรม Foxpro ซึ่งมีหน้าที่ทำงานบนDos และบน Windows, โปรแกรม Microsoft Access และในปัจจุบันมีโปรแกรม Visual Foxpro ซึ่งเป็นโปรแกรมฐานข้อมูลที่ทำงานบน Windows เช่นกัน
4. โปรแกรมทางด้าน Graphic
โปรแกรม Graphic ส่วนมากแล้วจะเกี่ยวกับทางด้านงานออกแบบ เขียนแบบวาดภาพ จัดทำสิ่งพิมพ์และจะเป็นทางด้านการนำเสนองาน สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในงานโฆษณา ทำ Slide Show หรือนำไปใช้กับระบบ Multimedia ได้ ปัจจุบันโปรแกรมกลุ่มนี้เป็นที่นิยมมาก
สำหรับโปรแกรมที่ทำงานทางด้าน Graphic นั้น มีอยู่หลายโปรแกรมและแต่ละโปรแกรมนั้น ส่วนใหญ่จะทำงานคล้ายกัน แต่มีบางคำสั่งที่แตกต่างกันไปดังนี้
CorelDraw และ Photoshop จะทำเกี่ยวกับงานออกแบบ วาดภาพ จัดทำ สิ่งพิมพ์ ตกแต่งภาพให้สวยงาม เหมาะกับงานทางด้านโฆษณา
Harvard Graphic, Freelance Graphic และ PowerPoint เหมาะกับงานที่ต้องการนำเสนอ หรือแสดงออกโดยการสร้างSlide Show สามารถนำภาพและเสียงมาประกอบกับงานได้ ทำให้ได้ Presentation ที่สวยงามออกมา
PageMaker เหมาะกับงานประเภทสิ่งพิมพ์ ใช้สร้างโบรชัวร์ แผ่นพับ ใบปลิว นามบัตร และการทำหนังสือ โปรแกรมที่นิยมใช้กับโรงพิมพ์มาก
5. โปรแกรมเกม ( Game)
เป็นโปรแกรมที่แพร่หลายเป็นที่รู้จักกันทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ และปัจจุบันนี้มีโปรแกรมเกมต่าง ๆ มากมาย ทั้งแบบธรรมดาและแบบ 3 มิติ ซึ่งที่จริงแล้วโปรแกรมเกมส่วนใหญ่จะสร้างขึ้นมา เพื่อช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดในการทำงานแต่ละส่วนใหญ่แล้วจะพบว่าเด็กจะเล่น เพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลินมากกว่า ผู้ใหญ่ควรควบคุมเกมที่เด็ก ๆเล่นด้วย เพราะบางเกมเป็นลักษณะของการต่อสู้ เพื่อให้เกิดชัยชนะ ซึ่งจะทำให้เด็กสร้างนิสัยผิด ๆ กลายเป็นเด็กที่ชอบเอาชนะคนอื่นชอบการต่อสู้ และอาจเป็นคนดุร้าย เห็นแก่ตัวได้
6. โปรแกรมทางด้านการสร้างสถานการณ์จำลอง
เป็นโปรแกรมที่ให้ผู้เล่นได้ทดลองสร้างสถานการณ์จำลองของงานที่อาจจะเกิดขึ้นได้หรืออาจจะเรียกว่า เกมส์ทางธุรกิจ โดยให้ผู้เล่นได้รู้จักวางแผนในการทำงาน คิดถึงผลกำไรขาดทุนที่อาจจะเกิดขึ้นได้ รู้จักจัดสรรงบประมาณที่มีอยู่ให้ได้ผลกำไรมากที่สุด
7. โปรแกรมทางด้านการติดต่อสื่อสารเป็นโปรแกรมที่มักนิยมใช้ตามสำนักงานต่างๆทั้งของรัฐและเอกชนในการนัดหมายประชุม การทำจดหมายเวียนไปตามฝ่ายต่างๆ โดยการเก็บข้อมูลไว้ในคอมพิวเตอร์แทนที่จะพิมพ์ออกมาทางกระดาษ เพื่อแจ้งให้พนักงานทราบ ข้อดีของโปรแกรมชนิดนี้คือ ทำให้ประหยัดกระดาษลงไปได้มาก
8. โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
โปรแกรมประเภทนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า CAI (Computer Assisted Instruction) เป็นโปรแกรมที่นำมาสอนให้กับนักเรียนในวิชาต่าง ๆ โดยที่นักเรียนจะเรียนกับโปรแกรมบนคอมพิวเตอร์และครูเป็นผู้ชีแนะ ทดสอบ และวัดความเข้าใจ รวมทั้งสรุปเนื้อหาที่นักเรียนได้เรียนจากโปรแกรม CAI นี้ ปัจจุบันโปรแกรมประเภทนี้เริ่มนำเข้ามาใช้ในโรงเรียนแพร่หลายมากขึ้น เพราะทุกโรงเรียนมีคอมพิวเตอร์ใช้ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงวิธีการสอนของครูวีหนึ่ง ที่ทำให้นักเรียนไม่รู้สึกเบื่อ และสนใจการเรียนมากขึ้นด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น